จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ระบาดหนัก!! โจรขโมยล้อรถยนต์ ในเมืองทองธานี

          กลายเป็นกระแสข่าวส่งต่อกันในเว็บบอร์ดต่างๆ หลังมีผู้นำภาพรถยนต์ที่ถูกขโมยล้อทั้ง 4 ล้อ ขณะจอดในเมืองทองธานี มาโพสต์เตือนผู้ใช้รถให้ระวัง
โดยในเว็บบอร์ดเมืองทองธานีออนไลน์ ได้มีผู้ใช้ชื่อ “Deuce” ตั้งกระทู้ในหัวข้อ “รถถูกโจรกรรมล้อรถยนต์” และมีข้อความว่าช่วงนี้ มีข่าวการโจรกรรมรถยนต์ในเมืองทองค่อนข้างมาก
นี่เป็น 1 ในหลายคันที่รถถูกโจรกรรมล้อรถยนต์ ทั้ง 4 ล้อ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
บริเวณลานจอดรถยนต์ของกระทรวงฯ และในคืนเดียวกันยังมี รถยารีส หายอีก 1 คัน หน้า C1 ดังนั้น จึงขอฝากเตือนทุกท่านในเรื่องการจอดรถยนต์ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
รวมทั้งฝากเตือน น้อง ๆ ผู้หญิงในเรื่องการแต่งกายให้รัดกุม ทั้งผู้ที่ชอบใส่เครื่อง ประดับทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ ด้วย
          นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้เว็บคนอื่นๆ เข้ามาโพสต์ถึงกรณีดังกล่าว เช่น
PandaP1 – ก่อนหน้านี้หลายเดือนแล้ว ก็มีมาตระเวนจะถอดล้อ BMW แต่พอดีเพื่อนบ้านจำได้ว่ารถคันนี้เป็นของฝรั่ง เลยกระซิบยามเข้าจับกุมได้ เกือบโดน สหบาทา เหมือนกัน ดีว่าเพื่อนบ้านช่วยกันสอดส่องดูแล Supsip – ที่C1.เหมือนกันไม่กี่อาทิตย์ โจรโขมยมอเตอร์ไซค์ประมาณ 7โมงเช้านิดๆ ผู้คนเยอะแยะ มันยังเอาไปต่อหน้าต่อตาเลย มันถีบคอรถแป๊ปเดียว ต่อสายตรงก็ขี่ออกไปสบายแฮ..ทางที่ดี ต้องทั้งล็อก ทั้งโซ้คล้อง ให้มันเอาไปได้ช้าที่สุด
          ทั้งนี้ในเว็บบอร์ดของ วีออสคลับ มีผู้ใช้ชื่อ “ระเบียง” ตั้งกระทู้ในหัวข้อ “รถยนต์ Toyota Vios โดนขโมยล้ออีกแล้ว” พร้อมระบุข้อความว่าที่เดิมต่างเวลา วันศุกร์ต่อเนื่องเช้าวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2555 โดนถอดล้อหลัง 3 คันรวด สีเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกันตำรวจบอกว่าที่เมืองทองขโมยรถยนต์ชุกชุมติดอันดับ 1 ของกรุงเทพฯ ให้ัระวังถ้าจอดค้างคืนให้จอดบริเวณสว่างไม่เป็นมุมอับ
ลักษณะนี้ไม่ถอดล้อหน้าเพราะกลัวคนเห็น ดังนั้น เพื่อนพนักงานถ้านอนที่คอนโดเมืองทองจอดรถให้ระวัง ควรจอดในที่มีคนเดินผ่านไปมา และสามารถมองเห็นได้จะปลอดภัยกว่า


ที่มา: http://news.mthai.com/headline-news/187175.html

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กสทช.มั่นใจคนไทยไม่รอเก้อ ประมูล3Gต.ค.นี้ชัวร์

          นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า ได้ข้อสรุปที่แน่นอนแล้วว่าการประมูลใบอนุญาตให้บริการ หรือ ไลเซ่นส์ 3 จี จะเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 15-20 ต.ค. หลังจากที่ประชุมบอร์ดกสทช.ชุดใหญ่ 11 ท่านมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 2 เสียง เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ผ่านหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลเพื่อประมูลใบอนุญาต 3 จี 2.1 กิกะเฮิร์ตซแล้ว
        โดยมีราคาเริ่มต้นประมูลที่ใบละ 4,500 ล้านบาท จำนวน 9 ใบ และปรับเพดานการถือครอง คลื่นความถี่จาก 20 เหลือ 15 เมกะเฮิร์ตซ และที่ไม่จัดเก็บที่ราคา 6,000 ล้านบาทต่อใบนั้น เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค
         พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานกสทช. และประธานกทค. กล่าวถึงกรณีที่ทีดีอาร์ไอ มองว่า กสทช. เป็นผู้จัดฮั้วประมูล 3 จี นั้น ตนมั่นใจว่าทุกอย่างที่ดำเนินการมาถูกต้อง โปร่งใส ซึ่งการประมูล 3 จี ครั้งนี้ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่มีการล้มกระดาน
         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มติเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับหลักเกณฑ์ดังกล่าว คือ น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา และ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกทค.งดออกเสียง เนื่องจากเห็นว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการที่ศาลปกครองสั่งระงับการประมูลครั้งที่แล้ว และ คดียังอยู่ในกระบวนการฟ้องร้อง
          อย่างไรก็ตาม กสทช. 2ท่านที่เป็นเสียงข้างน้อย ระบุว่า ต้องการให้ราคาเริ่มต้นเพิ่มเป็น 6,000 ล้านบาท เพราะการปรับเพดานเหลือ 15 เมกะเฮิร์ตซก็ถือว่าได้ปรับตามเอกชนแล้ว และผู้ประกอบการเอกชนได้ ประกาศชัดเจนถึงความพร้อมในการประมูลรายละไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งสามารถสู้ราคาประมูลได้อยู่แล้วหากปรับสูงขึ้น




ที่มา:http://morning-news.bectero.com/ข่าว-กสทช.มั่นใจคนไทยไม่รอเก้อ%20ประมูล3Gต.ค.นี้ชัวร์-1685.html

‘ชูวิทย์’ แฉอีก! มีบ่อนในซอยพัฒนาการ 20

            นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ แฉความล้มเหลวการปราบบ่อนการพนัน ระบุในพื้นที่ กทม.ยังเปิดบ่อนเล่นการพนันกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบ่อนอ๊อดใต้เปิดในท้องที่ สน.คลองตัน
           นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย บอกว่า วันนี้เป็นวันครบรอบ 1 ปี ที่ตัวเองนำคลิปการลักลอบเปิดบ่อนพนันในท้องที่นครบาลมาเปิดเผย ซึ่งจนถึงวันนี้ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งที่ตามกฎของ ก.ตร.ว่าด้วยการสอบสวนข้อเท็จจริง 2547 ระบุไว้ชัดเจนว่า ข้าราชการตำรวจผู้ใดถูกร้องเรียน หรือกระทำผิด และตกเป็นผู้ต้องสงสัย หรือกรณีตกเป็นข่าวตามสื่อมวลชน ให้ผู้บังคับบัญชาทำการสอบสวนข้อเท็จจริง
          แต่ที่ผ่านมากลับไม่มีการดำเนินการใด ซึ่งถือเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ยังมีการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน และ ล่าสุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ยังมีการลักลอบเปิดบ่อนกันอยู่ โดยเฉพาะที่ถนนพัฒนาการ 20 ในพื้นที่ สน.คลองตัน บ่อนอ๊อดใต้ลักลอบเปิดเล่นกันอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวของคนที่รับผิดชอบดูแลในเรื่องนี้ นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังบอกด้วยว่า การแฉบ่อนอ๊อดแห่งนี้ถือเป็นภาคแรกเท่านั้น เพราะยังมีภาค 2 ที่จะเปิดเผยในสัปดาห์หน้าเป็นบ่อนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่นครบาล



ที่มา:http://morning-news.bectero.com/ข่าว-‘ชูวิทย์’%20แฉอีก!%20มีบ่อนในซอยพัฒนาการ%2020-1684.html

ชาวบางใหญ่กรีดเลือดประท้วง เงินน้ำท่วมไม่ครบ

           ชาวบ้านบางใหญ่สุดทนกรีดเลือดเขียนป้ายประท้วงได้รับเงินเยียวยาน้ำท่วมไม่ครบ ร้อง 3 ข้อ ถ้าไม่ได้ผล เตรียมบุกสภาร้องยิ่งลักษณ์
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (23 ส.ค.) ชาวบ้านตำบลเสาธงหิน อ.บางใหญ่ เกือบ 200 คน ได้รวมตัวกันบริเวณริมถนนกาญจนาภิเษกช่วงขาออก หน้าห้างบางใหญ่ไนท์บาร์ซ่า เพื่อเรียกร้องประท้วงเรียกร้ององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นยังจ่ายเงินค่าเยียวยาน้ำท่วมไม่ครบตามที่เรียกร้องไปก่อนหน้านี้กับนายวิเชียร พุมิวิญญู ผู้ว่าราชการนนทบุรี ซึ่งทางจังหวัดรับปากจะจ่ายเงินช่วยเหลือให้บ้านหลังละไม่เกิน 20,000 บาทแต่ว่ากลับยังไม่ได้รับเงิน
         โดยเรียกร้อง 3 ข้อ 1.ให้มีการตั้งสอบคณะกรรมการวินัยผู้ว่าราชการนนทบุรี และนายชนินทร์ ธรรมเชาวรัตน์ นายกเทศมนตรีเสาธงหิน อ.บางใหญ่ และข้าราชการผู้เกี่ยวข้อง ข้อหาละเว้นหน้าที่ ภายใน 7 วัน 2.ให้นายกรัฐมนตรี หาผู้กระทำผิดโกงเงินช่วยน้ำท่วมยอด 16 ล้านบาท ของชาวบางใหญ่ ที่หายไปไหน 3.เงินช่วยเหลือทั้งหมดจะต้องถึงมือผู้ประสบภัยภายใน 7 วัน
          ทั้งนี้ ชาวบ้านได้ใช้ใบมีดโกนกรีดเลือด นำมาเขียนป้ายประท้วง หากข้อเรียกร้องไม่เป็นผล พวกตนจะเข้าไปร้องเรียนที่สภาเพื่อเข้าพบนายกรัฐมนตรี





ที่มา:http://news.sanook.com/1138119/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%9A/

หนุ่มเมานั่งเก้าอี้ขาหัก หงายหลังดับคาที่

          
           ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (23 ส.ค.) ที่สภ.ตาดโตน รับแจ้งจากว่าที่บ้านโนนสมบูรณ์ ต.พังขว้าง อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร ว่ามีผู้เสียชีวิตทราบชื่อนายบรรยาย บุญประเสริฐ ที่บ้านไม่มีเลขที่ สภาพศพนอนหงายท้อง ที่บริเวณลานหน้าบ้าน ร่างกายไม่มีร่องรอยหรือบาดแผล
          สอบถามผู้เห็นเหุตการณ์ ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายนั่งดื่มเหล้าอยู่กับเพื่อนอีก 1 คน ตั้งแต่เช้า มีเพื่อนอีกคนมาสมทบ ผู้ตายจึงลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้สีน้ำเงินที่มีสภาพเก่า และขาหลังของเก้าอี้หักมานั่งแต่ขาเก้าอี้ไม่เท่ากัน จึงหงายหลังหัวฟาดพื้น และเสียชีวิตดังกล่าว




ที่มา:http://news.sanook.com/1138122/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88/

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สภาเข้ากระทู้สดขณะเหลือ6พรบ.ก่อนปรองดอง

          วันนี้ ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญทั่วไป ครั้งที่ 7 ที่จะเริ่มขึ้นในเวลา 09.00 น. โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกถามกระทู้สด ทั้งนี้ ต้องจับตาการพิจารณาญัตติเรื่องด่วน ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และติดตามการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินการแก้ไข และเรื่องที่เสนอใหม่ ญัตติที่ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา และมาตรการการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ อย่างไรก็ตาม การประชุมสภาเมื่อวานที่ผ่านมา เพื่อพิจารณากฎหมายที่เลื่อนมา และยังคงค้างการพิจารณา เพื่อพิจารณากฎหมายที่เลื่อนมา และยังคงค้างอยู่อีก 7 ฉบับ ปรากฏว่าเพิ่งผ่านการพิจารณาเสร็จเพียง 1 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ทำให้ร่างพระราชบัญญัติปรองดอง อยู่ในลำดับที่ 7 - 10 ในการประชุมในสัปดาห์หน้า



ที่มา:http://news.sanook.com/1137896/%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD6%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%9A.%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%87/

รัสเซียเข้าเป็นสมาชิกWTOหลังปูตินไฟเขียว

          สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า รัสเซียได้เป็นสมาชิกล่าสุด ลำดับที่ 156 ขององค์การการค้าโลก หรือ WTO อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจาก ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เซ็นลงนามในเอกสาร อนุมัติเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อวันอังคาร ซึ่งกว่าจะถึงวันนี้ ทางการมอสโก ต้องใช้ความพยายามในการเจรจาต่อรอง และรอคอยยาวนานถึง 18 ปี และในวันเดียวกันนี้ วานูอาตู ประเทศเกาะขนาดเล็กในมหาสมุทรแปซิฟิก ก็ได้กลายเป็นสมาชิกใหม่ของ WTO เช่นเดียวกัน โดยเป็นสมาชิกลำดับที่ 157 ต่อจากรัสเซีย การได้เป็นสมาชิก WTO โดยสมบูรณ์ จะทำให้รัสเซีย ประเทศเศรษฐกิจขนาด 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ต้องจัดการลดอุปสรรคต่างๆ ทางด้านการค้าให้สำเร็จ ลงสู่ระดับที่ตกลงไว้ในระหว่างการเจรจา เพื่อขอเข้าเป็นสมาชิก ส่วนทางด้านนักวิเคราะห์ ให้ความเห็นว่า การได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของรัสเซีย จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุน และผลประโยชน์ในระยะยาวต่อเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งตัวเลขจีดีพีจะเพิ่มขึ้นประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์





ที่มา:http://news.sanook.com/1137908/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%81WTO%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7/

ตำรวจจราจร เคลียร์! เปล่าตะคอก ขวัญ อุษามณี

          จากกรณีมีผู้แจ้งเข้ามาเรื่อง ดาราสาวขวัญ อุษามณี ไวทยานนท์ ใช้ช่องทางทางโซเชียลเน็ตเวิร์กโพสต์ข้อความลงในอินสตาแกรม kwanusa9 เป็นเวลา 2 วันติดกัน ต่อว่าการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจรที่แยกเยาวราช ซึ่งต่อมาตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าเป็นที่แยกยมราชนั้น พบว่าคู่กรณีที่ คุณขวัญ กล่าวถึง คือ ร.ต.อ.พีรรัฐ โยมา สว.จร.สน.นางเลิ้ง ซึ่งได้รายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาให้รับทราบ เรามาฟังข้อเท็จจริงจากฝ่ายตำรวจจราจรคู่กรณีกันครับ

          เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2555 เวลาประมาณ 17.00.30 น. ขณะที่ ร.ต.อ.พีรรัฐ โยมา สว.จร.สน.นางเลิ้ง กำลังอำนวยการจัดการจราจรให้กับประชาชนอยู่ที่แยกยมราช พบรถเบนซ์คันหนึ่งซึ่งขับอยู่ในช่องทางเดินรถช่องขวาสุดจากถนนพิษณุโลกมุ่งหน้ามาที่แยกยมราช โดยในช่วงดังกล่าวเป็นถนน 3 ช่องทาง ที่มีเส้นทึบห้ามเปลี่ยนช่องทางเดินรถโดยเด็ดขาดกำกับไว้อย่างชัดเจนทุกช่องทาง ซึ่งเมื่อรถเบนซ์ดังกล่าวได้ขับมาใกล้ถึงแยก ได้เปิดไฟเลี้ยวและพยายามแทรกเข้าไปในช่องทางเดินรถช่องที่ 2 จนทำให้รถที่ตามรถเบนซ์มาในช่องทางที่ 3 ชะลอตัวหยุด และทำให้รถในช่องทางที่ 2 ที่รถเบนซ์พยายามจะแทรกเข้าไป ก็ชะลอตัวตามรถคันที่ไม่ยอมให้รถเบนซ์แทรก ซึ่งผู้ขับขี่รถเบนซ์ได้แหย่หน้ารถเข้าไปในช่องทางเดินรถช่องที่ 2 บ้างแล้ว ทำให้สภาพการจราจรติดขัด

          เมื่อ ร.ต.อ.พีรรัฐ เห็นดังนั้น ได้ทำสัญญาญมือแจ้งไปยังรถเบนซ์ไม่ให้เข้าไปแทรกรถชาวบ้านเค้า แต่ให้ขับตรงมา ปรากฏว่า รถเบนซ์คันดังกล่าวไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาณมือ และทำการแทรกเข้าไปในช่องทางเดินรถช่องที่ 2 ได้ในที่สุด ร.ต.อ.พีรรัฐฯจึงได้เรียกรถเบนซ์นั้นให้หยุด เพื่อทำการจับกุมในข้อหา แซงรถในที่คับขันอันก่อให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด โดยคนขับรถเบนซ์เป็นสุภาพสตรีสาวสวย ซึ่งทราบในภาพหลังคือ น.ส.อุษามณี ได้เปิดกระจกออกมา และร.ต.อ.พีรรัฐ ได้ทำวันทยาหัตถ์แสดงความเคารพต่อผู้ขับขี่ ตามมารยาทที่ดี ที่พึงปฏิบัติต่อประชาชน กล่าวสวัสดี ซึ่ง น.ส.อุษามณีฯได้สอบถามว่า เค้าทำผิดข้อหาอะไร จะรีบไป ร.ต.อ.พีรรัฐ ได้แจ้งด้วยเสียงปกติว่า คุณเปลี่ยนช่องทางในเส้นทึบ ทำให้เกิดปัญหารถติดครับ และขอตรวจสอบใบอนุญาตขับขี่ โดย น.ส.อุษามณี บอกว่า"ไม่ได้เอาใบขับขี่มา ขับรถมากับผู้ปกครอง จะรีบไป ไม่ได้ตั้งใจทำผิด ขอได้ไหม"

          ด้าน ร.ต.อ.พีรรัฐ ได้ถามยืนยันขอตรวจสอบใบอนุญาตขับขี่ และถามย้ำว่าไม่ได้เอามา หรือไม่มี น.ส.อุษามณี ได้บอกซ้ำอีกว่า "มีใบขับขี่ แต่ไม่ได้เอามา ขับรถมากับผู้ปกครอง จะรีบไป ขอได้ไหม" ร.ต.อ.พีรรัฐ แจ้งว่า ไม่ได้ครับ ต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด รถคันหน้าก็โดนจับอยู่ เดี๋ยวรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเขียนใบสั่งนะครับ และร.ต.อ.พีรรัฐ ก็ได้เดินออกไปจัดการจราจรโบกรถต่อไป โดยไม่มีการตะคอกหรือแสดงอาการตามที่ น.ส.อุษามณี โพสต์ลงแต่อย่างใด

          ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปเขียนใบสั่งให้รถของ น.ส.อุษามณี ได้เดินเข้าไปและวิทยุมาสอบถามว่า ผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ให้ดำเนินการอย่างไร ร.ต.อ.พีรรัฐ ได้แจ้งให้ออกใบสั่งลอยไป โดยขอดูชือและเลข 13 หลักตามบัตรประชาชนและให้รีบกลับมาโบกรถต่อ ซึ่งหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ออกใบสั่งได้เดินเข้ามาแจ้งกับ ร.ต.อ.พีรรัฐ ว่า ผู้ขับขี่ไม่ยอมให้ดูบัตรประชาชน แต่บอกว่าจำเลข 13 หลักได้และบอกให้ทราบ และได้ลงรายละเอียดในใบสั่งไว้เรียบร้อย

          โดยหลังจากนั้น ร.ต.อ.พีรรัฐ ก็ทำการจัดการจราจรต่อไป โดยไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น จนมาทราบข่าวจากสื่อสารมวลชนว่า น.ส.อุษามณี ได้ลงข้อความในอินสตราแกรม ต่อว่าการทำงานของ ร.ต.อ.พีรรัฐ จึงได้ทำรายงานพร้อมหลักฐานเสนอต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น เพื่อชี้แจงการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งไม่ตรงกับข้อความที่ น.ส.อุษามณี โพสลงแต่อย่างใด .....ก็ให้คู่กรณีฯที่เป็นตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่เข้ามาชี้แจงแล้วนะครับ เรื่องนี้ยังยาว ขอให้ติดตามตอนต่อไปครับ




ที่มา:http://news.sanook.com/1137904/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%81-%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8D-%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%B5/

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิธีสมัครบัตรอิออน

วิธีสมัครบัตรอิออน (บัตรอิออนมาสเตอร์การ์ดอิเล็กทรอนิกส์) บัตรที่ให้วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคล ให้ใช้ในการผ่อนซื้อสินค้า(ไม่จำเป็นต้องมีผู้ค้ำประกัน)

ผู้ที่สามารถสมัครบัตรอิออน
-มีอายุตั้แต่ 20 ปี ขึ้นไป
-มีเงินเดือนขั้นต่ำ 5,000 บาท
-มีอายุงานขั้นต่ำ 6 เดือน
-มีหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน
-มีเบอร์โทรศัพท์มือถือ

เอกสารที่ใช้ในการสมัครบัตรอิออน
-สำเนาบัตรบัตรประชาชน
-สำเนาทะเบียนบ้าน
-สลิปเงินเดือน หรือใบรับรองเงินเดือน
-สมุดบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
-ท่านสามารถยื่นสมัครบัตรอิออนได้ทั้งหมด 3 ช่องทางดังนี้

สมัครผ่านอินเตอร์เน็ต
1. เข้าไปกรอกข้อมูลที่เว็บไซต์ http://www.aeon.co.th
2. รออีเมล์ยืนยันจากอิออน
3. ส่งเอกสารการสมัคร ทางแฟกซ์ แล้วรอผลการอนุมัติจากอิออน
สมัครผ่านไปรษณีย์
1. กรอกแบบฟอร์มใบสมัคร แล้วส่งเอกสารทางไปรษณีย์ไปที่บริษัทอิออน
2. รอฟังผลการอนุมัติจากอิออน
สมัครที่เคาน์เตอร์อิออน
1. กรอกแบบฟอร์มใบสมัคร พร้อมยื่นเอกสารการสมัคร
2. รอฟังผลการอนุมัติจากอิออน






ที่มา http://www.aeon.co.th

ข้อมูลเชิงลึกเปิดเสรี LOGISTICS รับ AEC

          การเปิดเสรีโลจิสติกส์ ภายใต้กรอบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือAEC เริ่มถูกกล่าวถึงถี่ขึ้นมากในช่วงหลายปีมานี้ เหตุผลสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้เกิดความตื่นตัวในเรื่องดังกล่าวก็ด้วยความเป็นห่วงว่า ธุรกิจไทยจะเสียเปรียบในแง่ของการแข่งขัน เพราะทุกวันนี้ต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยค่อนข้างสูง แม้ปี 2554 ที่ผ่านมา เราจะวางเป้าหมายในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ให้เหลือ 16% ต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ (จีดีพี) แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยยังคงอยู่ที่ 18.6% เมื่อหันไปดูต้นทุนโลจิสติกส์ของชาติอื่นอาทิชาติในอาเซียนด้วยกันอย่างประเทศมาเลเซียต้นทุนโลจิสติกส์อยู่ที่ 13% สิงคโปร์ 7% ถัดออกไปในภูมิภาคเอเชีย อินเดียอยู่ที่ 13% ญี่ปุ่น10.5% ขณะที่กลุ่มประเทศในแถบยุโรป เฉลี่ยอยู่ที่ 11% และสหรัฐ อยู่ที่ 9.5% ยิ่งไปกว่านั้นผู้ประกอบการในธุรกิจโลจิสติกส์ของไทยกว่า 70% เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก หรือเอสเอ็มอี เลยกลายเป็นเป้าใหญ่ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นจุดอ่อน หากเปิดเสรี 100% ปล่อยให้ทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย ภายใต้กรอบAECในปี 2558 เอสเอ็มอีก็ยากจะอยู่รอด ในความเป็นจริงสถานการณ์ไม่ได้น่ากลัวถึงขั้นนั้น ทุกวันนี้ถึงผู้ประกอบการโลจิสติกส์ของไทยส่วนใหญ่จะเป็นเอสเอ็มอีมีต่างด้าวเพียง 30% แต่ถ้าดูทุนจดทะเบียนรวมก็จะพบว่า ทุนของกลุ่มต่างด้าวคิดเป็นสัดส่วนถึง 52% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด แต่กลุ่มเอสเอ็มอีก็ยังอยู่ได้

           นอกจากนี้ การเปิดเสรีโลจิสติกส์ของไทยก็จำกัดทุนต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้ไม่เกิน 70% ซึ่งจะเริ่มในปี 2556 และยังไม่ได้มีการเจรจาจะขยายการถือหุ้นให้มากกว่านี้ โดยปัจจุบันในอาเซียนของเรามีเพียงสิงคโปร์ เวียดนาม และกัมพูชา ที่เปิดรับทุนต่างชาติเข้ามาในกิจการโลจิสติกส์ 100%ดังนั้นถ้าอนาคตไทยจะเดินรอยตาม 3 ประเทศนี้ก็เชื่อว่าไม่น่าเป็นห่วงเช่นกันตรงกันข้าม การเปิดเสรีจะช่วยพัฒนาโลจิสติกส์ในไทยให้มีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเอื้ออ่านวยประโยชน์ต่อการเปิดเสรีภาคการค้าที่เปิดไปก่อนหน้านี้แล้วให้เกิดความคล่องตัวยิ่งขึ้น

ข้อดีข้อแรก คือ แนวโน้มต้นทุนโลจิสติกส์จะถูกลง จากตัวเลือกการให้บริการที่มีมากขึ้นกว่าเดิม

ข้อต่อมา แม้จะเป็นผู้ประกอบการทุนหนา แต่ความเชี่ยวชาญในเรื่องของเส้นทางการให้บริการก็ยังต้องอาศัยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเจ้าถิ่นเข้ามารับช่วงงานต่ออยู่ดี รายใหญ่ไม่สามารถทาเองได้ทั้งหมด ช่วยให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้มากกว่าเก่า

ข้อดีข้อที่สาม ประเทศไทยได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่กลางอาเซียน หากโลจิสติกส์ของไทยสามารถรองรับความต้องการใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะช่วยดึงฐานลูกค้าเข้ามาเพิ่มได้ แน่นอนว่า ทุนต่างชาติที่เข้ามาหาก็ต้องเน้นการสรรหาลูกค้ามาใช้บริการด้วย นั่นหมายถึงเงินไหลเข้าจำนวนมหาศาล เฉกเช่นที่สิงคโปร์เป็นผู้นำอยู่ในเวลานี้สุดท้าย คือ เทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ที่ทันสมัยจะเข้ามาสู่ประเทศไทยเช่นกัน ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ไทยต้องการอย่างมาก เพื่อการพัฒนาตัวเองในระยะยาว

          ปัจจุบันเปรียบเทียบชาติอาเซียนด้วยกันสิงคโปร์เป็นชาติที่มีศักยภาพด้านโลจิสติกส์เป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็น มาเลเซีย ส่วนไทยอันดับ3 ตามด้วยฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซียโดยประเทศที่กำลังมาแรงคือ เวียดนาม ถ้าไทยไม่ขยับตัวโอกาสถูกเวียดนามแซงมีความเป็นไปได้สูง อย่างไรก็ดี การเตรียมความพร้อมรับกับการเปิดเสรีโลจิสติกส์ กลุ่มเอสเอ็มอีของไทยต้องรวมกลุ่มกันให้ได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งสร้างอำนาจต่อรองกับผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยดำเนินการรวมกลุ่มกันเอง เพราะเป็นผู้ที่อยู่ในวงการโดยตรงรู้และเข้าใจศักยภาพของกลุ่ม จะทำให้การวางทิศทางการพัฒนาเป็นไปอย่างถูกทางได้อย่างสมบูรณ์ไม่ควรให้ภาครัฐเข้ามาเป็นแกนนา แต่ให้รัฐทาหน้าที่เป็นฝ่ายสนับสนุนส่งเสริม ด้วยการช่วยเหลือในการปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ให้เอื้ออ่านวยความสะดวกในขั้นตอนการปฏิบัติ โดยเฉพาะลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตระเบียบเอกสารต่างๆ จากหลายหน่วยงาน ร่นระยะทางการติดต่อ แทนที่เอกชนจะต้องเสียเวลาเดินทางไปติดต่อเรื่องเอกสารหลายๆที ก็ติดต่อ ณ จุดเดียว แต่ได้ครบทุกใบอนุญาตจากหลายหน่วยงาน

         ยกตัวอย่าง ที่ประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซียใช้ระบบ Single Window สินค้าใดๆ ก็ตามที่จะขนย้ายผ่านเข้าออกที่ด่านไหน ด่านนั้นสามารถให้บริการด้านเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น สินค้าอาหารปกติต้องตรวจสอบใบอนุญาตความปลอดภัยมาตรฐานสินค้า มาตรฐานด้านการเกษตร เป็นต้นรวมแล้วก็กว่า 20 แผนก ที่ต้องวิ่งไปติดต่อ แต่ระบบดังกล่าวสามารถตรวจเช็กข้อมูลได้ครบหมด โดยเชื่อมเครือข่ายไอซีทีถึงกันไม่ต้องให้ทุกหน่วยงานส่งคนมา ทำให้นอกจากร่นเวลาแล้วยังประหยัดค่าเดินให้เอกชน และประหยัดต้นทุนของภาครัฐด้วยเช่นกัน แต่การที่จะทาจุดนี้ได้ รัฐต้องยอมลงทุนพัฒนาซอฟต์แวร์ให้รองรับการทำงานได้อย่างสมบูรณ์ก่อน ยิ่งไปกว่านั้น หน่วยงานรัฐจำเป็นต้องปรับกระบวนการทำงาน เปลี่ยนบทบาทจากการกำกับควบคุม หันมาเน้นส่งเสริม อ่านวยความสะดวกภาคเอกชน ภายใต้กฎระเบียบที่มีความเอกภาพ

          สุดท้าย คือ การวางนโยบายระดับชาติเพิ่มเส้นทางคมนาคมขนส่ง ทั้งระบบราง ถนน และทางน้ำ เชื่อมออกสู่ประเทศเพื่อนบ้านให้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ โอกาสที่โลจิสติกส์ไทยจะขึ้นไปเทียบชั้นสิงคโปร์ มาเลเซีย ก็ไม่เกินเอื้อมแน่นอน




ที่มา:http://www.thai-aec.com/438#more-438

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เผย 10 อันดับธุรกิจ “ดาวเด่น-ดาวร่วง” ปี 55 “การแพทย์-ความงาม” แรงสุด

               ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ ม.หอการค้า เผย 10 อันดับ ธุรกิจดาวเด่น-ดาวดับ ปี 55 ระบุ การแพทย์-ความงาม มาแรงสุด เพราะคนใส่ใจห่วงใยสุขภาพ หันทำศัลยกรรมความงามมากขึ้น ส่วนโชวห่วยดับสนิท เพราะสู้รายใหญ่ไม่ได้

              นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึง 10 อันดับธุรกิจเด่นปี 2555 ซึ่งจัดโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยคิดจากการให้คะแนนใน 5 ด้าน คือ ด้านยอดขาย ต้นทุน ส่วนต่างของยอดขายต่อต้นทุน (กำไรสุทธิ) ความสามารถในการรับผลจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และความสอดคล้องกับกระแสนิยม รวม 50 คะแนน รวมถึงประเมินจากสถานการณ์เศรษฐกิจ 55 ปัจจัยสนับสนุน และปัจจัยบั่นทอนในการทำธุรกิจ ซึ่งพบว่า ธุรกิจดาวเด่น 10 อันดับ 12 ธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจบริการทางการแพทย์ และความงาม 45.1 คะแนน 2.อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล 44 คะแนน 3.ธุรกิจปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์คอนกรีต 43.9 คะแนน 4.สถานีบริการ/จำหน่ายน้ำมัน ก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี 43.8 คะแนน 5.สถาบันการเงิน 43.5 คะแนน 6.เทคโนโลยีสื่อสาร 43.3 คะแนน 7.ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต 43.2 คะแนน ส่วนอันดับ 8 มีคะแนนเท่ากันที่ 42.7 คะแนนใน 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร และธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง 9.ธุรกิจพลังงานและพลังงานทดแทน ขณะที่อันดับ 10 มี 2 ธุรกิจที่คะแนนเท่ากันที่ 42.4 คะแนน คือ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจอาหาร

           นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ กล่าวถึง 10 ธุรกิจดาวร่วงปี 2555 หรือธุรกิจที่มีโอกาสทำธุรกิจน้อย และผู้ประกอบการจะต้องเร่งปรับปรุงศักยภาพ ได้แก่ 1.ร้านค้าดั้งเดิม (โชวห่วย) 15.9 คะแนน 2.ผักและผลไม้อบแห้ง 16.7 คะแนน 3.หัตถกรรม (จักสาน งานไม้) 17.1 คะแนน 4.เครื่องหนัง (งานไม้เน้นฝีมือ งานเครื่องหนังทั่วไป) 17.2 คะแนน 5.เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (ไม่เน้นงานฝีมือ) 18.4 คะแนน 6.สิ่งทอผ้าผืน (งานไม้เน้นฝีมือ ตัดเย็บทั่วไป) 18.7 คะแนน 7.เหล็กและการผลิตเหล็ก 19.9 คะแนน 8.อุตสาหกรรมฟอกย้อม 20.7 คะแนน 9.ธุรกิจประมง 24.1 คะแนน และ 10.อสังหาริมทรัพย์(บ้านแนวราบ) 24.9 คะแนน

            “ธุรกิจดาวร่วงปี 2555 พิจารณาจากผลกระทบที่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และทำให้ผู้ประกอบการแข่งขันไม่ได้ โดยเฉพาะต้นทุนด้านค่าแรงที่จะปรับขึ้นในปีหน้า ผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม และสินค้าที่มีรูปแบบล้าสมัย ไม่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภค เช่น เครื่องหนัง เครื่องแต่งกาย งานหัตถกรรม”

           สำหรับธุรกิจเด่นหลังน้ำลด ได้แก่ ธุรกิจทำความสะอาด ธุรกิจเคลื่อนย้ายสิ่งของ วัสดุก่อสร้าง โรงรับจำนำ และธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ส่วนธุรกิจเด่นในช่วงครึ่งหลังปี 2555 ได้แก่ อิเลกทรอนิกส์ ยานยนต์ ร้านทอง สื่อสิ่งพิมพ์และการบันเทิง ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง โดยอิเลกทรอนิกส์ และยานยนต์นั้น แม้ไตรมาสแรกปี 2555 จะมีความต้องการมากขึ้น แต่ผู้ผลิตไม่สามารถเดินเครื่องผลิตได้ตามความต้องการ เพราะยังฟื้นฟูโรงงาน และเครื่องจักรได้เต็มที่ คาดจะกลับมาเดินเครื่องเป็นปกติในครึ่งหลังของปี และทำให้ธุรกิจฟื้นตัวได้ครึ่งหลังของปีเช่นกัน





ที่มา:http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000164932

พยากรณ์อากาศประจำที่ 21 สิงหาคม 2555

           ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น. ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศพม่า ลาว และเวียดนามตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำในอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนกระจายถึงเกือบทั่วไป และมีฝนตกหนักบางแห่ง
อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “เทมบิง” (TEMBIN) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ มีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางใต้หวัน และประเทศจีนตอนใต้ ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง

            พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.
ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดตาก แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่
อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดหนองคายและอุดรธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง
บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธานี และนครสวรรค์
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมาก
บริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี และตราด
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร
สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่
ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนองและพังงา
อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนบริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ ส่วนมากในช่วงบ่ายถึงค่ำ
อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส




ที่มา:http://www.tmd.go.th/daily_forecast.php

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"แบล็คแคนยอน"เร่งขยายอาเซียน บุก"ลาว-ฟิลิปปินส์"เปิดแบรนด์ใหม่เพิ่มฐานลูกค้า

          นางกรรณิการ์ ชินประสิทธิ์ชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันร้านแบล็คแคนยอนมีหลากหลายโมเดล ปัจจุบันมีเปิดให้บริการ 229 สาขาในไทย ประกอบด้วยแบล็คแคนยอนคอฟฟี่ โมเดลร้านอาหารที่มีอาหารและกาแฟให้บริการ, สาขาที่เน้นเปิดในปั๊มน้ำมัน เรียกว่า "แบล็คแคนยอน

          คิทเช่น" นอกจากนี้ ยังมีร้านขนาดเล็กที่เปิดบนรถไฟฟ้าและปั๊มน้ำมัน รวมถึงในแอร์พอร์ต นอกจากนี้ก็ยังมีร้านไอศกรีมแบรนด์ "เจลาโตนี่" ที่มีเปิดให้บริการ 7 สาขา  ตั้งแต่ปีที่แล้วบริษัทยังได้เปิดแบรนด์ใหม่ที่ชื่อ "คาเฟ่ อินทีเรีย" (Cafe interia) ปัจจุบันมี 2 สาขา เป็นร้านที่เน้นความทันสมัยและมีความเป็นพรีเมี่ยมมากยิ่งขึ้น
        โดยราคาจะสูงกว่าแบล็คแคนยอนประมาณ 20% แบรนด์แคแร็กเตอร์จะดูสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ส่วนอาหารจะเป็นแนวฟิวชั่น ถือเป็นแนวรบใหม่ของบริษัทเพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น  "ปัจจุบันค้าปลีกใหม่ ๆ คอมมิวนิตี้มอลล์ที่เปิดให้บริการเน้นสไตล์กิ๊บเก๋มากขึ้น ตามไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เราจึงจำเป็นต้องมีร้านอาหารที่เน้นสไตล์ที่เก๋ ๆ เพื่อเหมาะกับผู้บริโภค และค้าปลีกแนวใหม่ ๆ" นางกรรณิการ์กล่าวและว่า นอกจากนี้ ปีนี้เป็นปีที่บริษัทเดินหน้าขยายสาขาในยังต่างประเทศมากขึ้น ล่าสุดไปเปิดสาขาในเวียงจันทน์ ประเทศลาว ในเดือนพฤษภาคม และฟิลิปปินส์ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ้ปัจจุบันแบล็คแคนยอนมีสาขาในต่างประเทศ 43 สาขา และครอบคลุมเกือบทุกประเทศในอาเซียน ขาดเพียงบรูไน, เวียดนาม เท่านั้น ซึ่งทำให้บริษัทมีความพร้อมในการรับมือกับเออีซี ที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า

         ทั้งนี้ รูปแบบในการเข้าไปยังประเทศต่าง ๆ จะเป็นการหามาสเตอร์แฟรนไชส์คนท้องถิ่น เพื่อรับผิดชอบในการเปิดสาขาในแต่ละประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก บริษัทมีการปรับตัวโดยคิดค้นเมนูที่เหมาะกับแต่ละประเทศอีกด้วย ความได้เปรียบอย่างหนึ่งคือ เมนูอาหารที่มีหลากหลายแนวทั้งอาหารไทย, ฟิวชั่นฟู้ด และอาหารแนวตะวันตก ทำให้แบล็คแคนยอนสามารถรุกตลาดนอกประเทศได้หลากหลาย
          ผู้บริหารแบล็คแคนยอนกล่าวอีกว่า ด้วยการที่อาหารไทยได้รับความนิยมในตลาดโลกอยู่แล้ว ถือเป็นความได้เปรียบของบริษัทในการรุกตลาด โดยแบล็คแคนยอนถือเป็นร้านอาหารรายแรก ๆ ที่บุกตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาบริษัทยังมีการส่งคนไปประกวดอาหารต่าง ๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น อาทิ การได้แชมป์บาริสต้าโลก รวมถึงแชมป์ผัดไทยโลก ฯลฯ
         "เราเปิดที่สิงคโปร์ที่แรกเมื่อ 13 ปีที่แล้ว วันนี้จะว่าเราเป็นรีจินอลแบรนด์ของอาเซียนก็สามารถพูดได้ แล้วแต่จะมอง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เราเป็นตัวอย่างของธุรกิจไทยในการก้าวไปข้างหน้า ไม่จำกัดอยู่แค่ประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าคงเป็นเป้าหมายของแบรนด์ร้านอาหารไทยหลาย ๆ แบรนด์" ตั้งแต่ต้นปีบริษัทเปิดไปแล้ว 14 สาขา ใน 4-5 เดือนหลังมีแผนเปิดอีก 10 สาขา จากเป้าหมายที่วางไว้ปีนี้ 15 สาขา ถือว่าเกินเป้าหมายที่วางไว้ ปัจจุบันสาขาที่เปิดในไทยเป็นระบบแฟรนไชส์ 40% สำหรับงบฯลงทุนเปิดสาขาปีนี้วางไว้ที่ 90 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าเติบโตปีนี้ 15%





ที่มา:http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1345179533&grpid=no&catid=no

โธมัส แชมเบอร์ คอนติเนนทอลฟันธง ไทยเหนือกว่าทุกประเทศ

         หลังเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย 5 ปีเศษ วันนี้ "โธมัส แชมเบอร์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนชั้นนำของโลกสัญชาติเยอรมัน บอกว่า วันนี้คอนติเนนทอลฯก้าวไปเกินคาด มีทั้งลูกค้าในกลุ่มส่งออก รวมทั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทย OEM ถึง 9 ค่ายรถยนต์ พร้อมตั้งเป้าว่าจะต้องเติบโตเหนือตลาดรวมทั้งประเทศไทยด้วย ภายใต้กลยุทธ์สร้าง "สมดุล"

 ผลประกอบการช่วงที่ผ่านมา

         ครึ่งปีแรกของทั้งกลุ่มเราโตกว่าปีก่อน ม.ค.-ก.ค. 1.6 หมื่นล้านยูโร จากปีก่อนที่ทำได้ 1.4 หมื่นล้านยูโร สาเหตุเติบโตสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่เกิดปัญหานั้น เนื่องจาก 3 สาเหตุหลัก คือ การเติบโตของตลาดเอเชียเข้าไปทดแทนตลาด รวมถึงการเลือกผลิตสินค้าในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างกลุ่มชิ้นส่วน "อิเล็กทรอนิกส์" ระบบการสื่อสารภายในที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง และการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

         ส่วนผลประกอบการในปีที่ผ่านมาของตลาดเอเชียนั้น มีรายได้ที่ 5,000 ล้านยูโร ส่วนประเทศไทย อาเซียน และออสเตรเลียนั้น มีรายได้รวมกันที่ 841 ล้านยูโร

          ส่วนเป้าหมายปีนี้ทั้งกรุ๊ปจะทำได้ 3.3 หมื่นล้านยูโร โตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7% ขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์ทั่วโลกคาดว่าจะมีสูงถึง 79 ล้านคัน ทั้งนี้รายได้ของบริษัทนั้นเป็นผลมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นฟื้นตัว

 กำลังผลิตและการลงทุน
         ปัจจุบันโรงงานผลิตที่ "อมตะซิตี้" ได้มีการลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของการจัดซื้อเครื่องจักรมูลค่า 400 ล้านบาท ปัจจุบันผลิตได้แค่ 47% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ดังนั้นเม็ดเงินที่ลงไปจะเพิ่มกำลังผลิตได้อีก 10% ภายในปี 2557 ขณะนี้ได้มีการเพิ่มพนักงานจาก 400 คนเป็น 500 คนในช่วงที่ผ่านมา ส่วนสำนักงานขายนั้น บริษัทได้เพิ่มพนักงานอีก 30% เพื่อเพิ่มคุณภาพงานขาย รวมทั้งการวิจัยและพัฒนา เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย รวมถึงการรองรับ AEC ในอนาคตด้วย

 กลยุทธ์หลักปีนี้
         แผนบริษัทแม่ 7 อย่างสู่ความยั่งยืน เราเอามาใช้ในเมืองไทยด้วย ความเป็นบริษัทระดับโลกเราได้กำหนดกลยุทธ์ "การสร้างความสมดุล" ใช้ในกลุ่มแล้วกลยุทธ์ดังกล่าว

         เริ่มต้นด้าน "การเจริญเติบโต" ของแต่ละภูมิภาค เดิมโตในอเมริกาและยุโรป แต่วันนี้ต้องมาสร้างความสมดุลในตลาดเอเชีย และจะต้องโตทุกตลาดทั่วโลก สำหรับประเทศไทยและอาเซียนนั้นจะต้องมีความสมดุล

         "ด้านเทคโนโลยี" เดิมสนับสนุนเทคโนโลยี R&D ให้กลุ่มรถระดับพรีเมี่ยม วันนี้ต้องสร้างความสมดุลในกลุ่มอีโคคาร์ด้วย

         "ด้านยอดขาย" ด้วยการกระจายยอดขายในประเทศไทยไปยังลูกค้าหลากหลายยี่ห้อ "ด้านการเป็นผู้นำตลาด" วันนี้กลุ่มได้ขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 2 ของโลก ส่วนประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนเราจะต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 3 ให้ได้ โดยปัจจุบันในกลุ่มระบบส่งกำลังเราติด 1 ใน 3 แล้ว ส่วนด้านอื่น ๆ คาดว่าต้องใช้ระยะเวลาอีก 5 ปีจากนี้จะต้องติด 1 ใน 3 ให้ได้

         "ด้านการเติบโตสูงสุด" ในตลาดนั้น ๆ ในอัตราที่สูงกว่าตลาดและมีกำไรสูงกว่าอัตราเฉลี่ย "ด้านประสิทธิภาพสูงสุด" รวมถึงการรักษาตำแหน่งสูงสุดในโลกด้านการผลิต และสุดท้ายคือ "ทีมงานที่ดีที่สุด"

 เตรียมรับมือ AEC
           เราเห็นโอกาสมหาศาลในการเคลื่อนไหวสินค้า เงินทุน โดยไทยต้องมีการทำงานอย่างโปร่งใสเพื่อรับตรงนี้ คอนติเนนทอลฯพร้อมเป็นฐานรองรับการเติบโต เนื่องจากมีโรงงานในไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์แล้ว แต่ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่น่าสนใจต่อการลงทุนของกลุ่มในอนาคต ทั้งเรื่องการสนับสนุนที่ดีจากภาครัฐ ปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ แต่ทั้งนี้ข้อกำหนดเกี่ยวกับยานยนต์ มาตรฐานสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย การให้ข้อมูล รวมถึงรถราคาประหยัด ประเทศไทยจะต้องทำให้ได้มาตรฐานโลก รัฐบาลควรปรับระบบภาษีโดยมองไปที่ผลมาตรฐานการปล่อยก๊าซ Co2 โดยไม่กำหนดเชื้อเพลิงและเทคโนโลยี ระบบภาษีนั้นมีความสำคัญมาก และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและบริษัทชิ้นส่วนเองก็มีความสำคัญมากต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ การเคลื่อนย้ายแรงงาน วิศวกร ไม่ได้ทำงานเฉพาะโรงงาน แต่ดูแลเรื่องการบริหาร อยากให้รัฐบาลดูแลเรื่องบุคลากรที่จะป้อนเข้าอุตสาหกรรมยานยนต์

 ความน่าสนใจของอินโดนีเซีย
         สำหรับอินโดนีเซียกับไทยนั้น วันนี้ไทยมีความน่าสนใจกว่า ทั้งตลาด OEM, บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซัพพลายเออร์ต่าง ๆ รวมทั้งการสนับสนุนของนโยบายรัฐบาลไทยที่มีเหนือกว่าอินโดนีเซีย

 โอกาสของประเทศไทยมีเหนือกว่า
         เป้าหมายที่รัฐกำหนดไว้สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์นั้น ประสบความสำเร็จด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นฐานการผลิตรถปิกอัพ-อีโคคาร์ มีการจ้างงานมากกว่า 500,000 คน สร้างรายได้คิดเป็น 10% ของ GDP อนาคตประเทศไทยตั้งเป้าจะเป็นฐานผลิตรถยนต์ "กรีนคาร์" หรือรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในปี 2563

         ซึ่งสถาบันยานยนต์ได้ตั้งเป้า 3 ด้าน คือ เทคโนโลยี, บุคลากรและเทคโนโลยี ซึ่งบริษัทพร้อมตอบโจทย์ประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยต่าง ๆ เครื่องยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งอีวีและไฮบริด ด้านบุคลากร มีการถ่ายทอดระบบการผลิตแบบใหม่ให้วิศวกรได้เรียนรู้ รวมทั้งส่งวิศวกรไปฝึกงานที่บริษัทแม่ รวมทั้งสนับสนุนภาครัฐเรื่องการพัฒนาบุคลากร และบริษัทพร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตอันดับ 10 ของโลก




ที่มา:http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1345441121&grpid=no&catid=no



ส.ว. เสนอ 7 ชื่อ ชิง รอง ปธ.วุฒิสภา

         การประชุมวุฒิสภา ล่าสุดขณะนี้ ได้เข้าสู่ระเบียบวาระพิจารณาเรื่องด่วน คือ การเลือกรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 แทนตำแหน่งที่ว่างลง โดย นางพรทิพย์ โล่ห์วีระ จันทร์รัตนปรีดา รองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 ซึ่งฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภา เปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภา เสนอผู้ชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา โดย พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ ส.ว.อุดรธานี ได้เสนอ นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี เสนอ นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ส.ว.ปราจีนบุรี พล.อ.เกษมศักดิ์ ปลูกสวัสดิ์ ส.ว.สรรหา เสนอ นายสมัคร เชาวภานันท์ ส.ว.สรรหา นางนิลวรรณ เพชระบูรณิน ส.ว.สรรหา เสนอ ม.ล.ปรียพรรณ ศรีธวัช ส.ว.สรรหา น.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี เสนอ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา นายสมชาติ พรรณพัฒน์ ส.ว.นครปฐม เสนอ นายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมวุฒิสภา ได้เปิดโอกาสให้ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ได้แสดงวิสัยทัศน์คนละ 10 นาที ทั้งนี้ ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา ได้เริ่มแสดงวิสัยทัศน์แล้ว





ที่มา:http://news.sanook.com/1137298/%E0%B8%AA.%E0%B8%A7.-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%AD-7-%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD-%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%9B%E0%B8%98.%E0%B8%A7%E0%B8%B8%E0%B8%92%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2-/

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สื่อเกาหลีตีข่าว ทักษิณ ไปเกาหลีใต้


           สื่อเกาหลีตีข่าว ทักษิณ บินไปเกาหลีใต้ คาดเพื่อกระชับความสัมพันธ์ 2ประเทศ และหารือเร่องการจัดการน้ำ ขณะที่นพดลอ้างเป็นไปตามหมายกำหนดการเดิม

          สำนักข่าวเคบีเอส ของเกาหลีใต้ ได้รายงานเมื่อวันที่ 18 ส.ค. ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ได้เดินทางเข้ากรุงโซลประเทศเกาหลีใต้แล้ว โดยได้เดินทางถึงสนามบินกิมโป เมื่อช่วงบ่ายของวานนี้
         ซึ่งการเดินทางไปเยือนประเทศเกาหลีใต้ของอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยดังกล่าว ก็เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่าง2ประเทศในเรื่องโครงการบริหารจัดการน้ำ
         ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฏหมายของ พ.ต.ท. ทักษิณ ก็ได้ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปเยือนเกาหลีใต้จริง โดยเป็นหมายกำหนดการเดิมหลังจากเดินทางเยทอนสหรัฐ ทั้งนี้หลังเสร็จสิ้นภารกิจพ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะเดินทางไปประเทศจีนเป็นลำดับต่อไป




ที่มา:http://news.mthai.com/headline-news/184198.html

เอแบคโพล เผยคน72%ยากเห็นยิ่งลักษณ์ แจงศึกซักฟอกเอง

          เอแบคโพล เผยถึงผลสำรวจ คนไทยส่วนใหญ่อยากเห็น ยิ่งลักษณ์แจงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจมากกว่าเฉลิม บอกอยากเห็นทักษิณดงบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมากที่สุดในการเดินทางเยือนต่างประเทศ ห่วงการรับจำนำข้าวมากที่สุดในเรื่องทุจริต

           สำนักวิจัยเอแบคโพล ได้เผยถึงผลสำรวจเรื่อง “บทบาท พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในเวทีต่างประเทศ” จากกลุ่มตัวอย่าง 2,289 ตัวอย่าง ใน 17 จังหวัดของประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.5 อยากเห็น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แสดงบทบาทที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ในขณะที่ร้อยละ 32.5 ไม่อยากเห็น

โดย 5 อันดับบทบาทที่อยากให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แสดงในการเดินทางระหว่างประเทศ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนคนไทย ได้แก่
ร้อยละ84.9 อยากให้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของประชาชน ค่าครองชีพ ป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจจากต่างชาติ
ร้อยละ83.2 อยากให้ชิญชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ร้อยละ 69.1 ให้แก้ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม
ร้อยละ 62.5 แก้ปัญหาที่ทำกินชาวไร่ชาวนา
และร้อยละ 61.1 ระบุแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาของเด็กและเยาวชน ตามลำดับ

          ทั้งนี้เมื่อถามถึงการเดินทางเยือนต่างประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีผลทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างใดนั้น ร้อยละ 55.4 ระบุการเดินทางไปประเทศต่างๆ ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ประเทศไทยยังคงเหมือนเดิม ในขณะที่ร้อยละ 25.2 ระบุทำให้ประเทศไทยดีขึ้น แต่ร้อยละ 19.4 ระบุแย่ลง

         ขณะเดียวกันเมื่อถามถึงอันดับประเด็นที่ประชาชนอยากให้มีการการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมถึงรัฐมนตรที่ควรถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น พบว่า
ร้อยละ 59.6 ระบุกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธีระ วงศ์สมุทร ,เรื่องปัญหาจำนำข้าว ราคาผลผลิตทางการเกษตร และบัตรเครดิตชาวนา
ร้อยละ 57.1 ระบุกระทรวงพาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์, เรื่องปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ
ร้อยละ 55.6 ระบุ กระทรวงการคลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เรื่อง ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ
ร้อยละ 49.8 ระบุกระทรวงยุติธรรม พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เรื่องปัญหายาเสพติด
และร้อยละ 42.1 ระบุกระทรวงมหาดไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เรื่องปัญหาเยียวยาภัยพิบัติธรรมชาติ ปัญหาฐานข้อมูลบัตรประชาชนล่ม ปัญหาขัดแย้งภายในกระทรวง ตามลำดับ

ส่วนบุคคลฝั่งรัฐบาลที่ประชาชนอยากจะให้ชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจมากที่สุด นั้น ร้อยละ 72.9 อยากฟังน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชี้แจงมากกว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในขณะที่ร้อยละ 27.1 อยากฟัง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นผู้ชี้แจงมากกว่า ขณะที่ฟากฝั่งฝ่ายค้านนั้นประชาชนร้อยละ 56.2 อยากฟัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อภิปรายมากกว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์

ทั้งนี้ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงนโยบายรัฐบาลที่น่าเป็นห่วงว่าจะมีการทุจริต เมื่อตอบได้มากกว่า 1 นโยบาย พบว่า 5 อันดับแรกได้แก่
ร้อยละ 70.7 รู้สึกเป็นห่วงการรับจำนำข้าว
รองลงมาคือร้อยละ 67.6 ระบุการแจกแทบเล็ตนักเรียน
ร้อยละ 57.7 ระบุบัตรเครดิตชาวนา
ร้อยละ 56.8 ระบุการแก้ไขป้องกันปัญหายาเสพติด
และร้อยละ 55.4 ระบุบัตรเครดิตพลังงาน



ที่มา:http://news.mthai.com/headline-news/184211.html

เผยราคา ต้นทุน โลโก้แบรนด์ดัง

MThai News: เว็บไซต์สต๊อค โลโกส์ รวบรวมค่าใช้จ่ายสำหรับโลโก้ของสินค้าแบรนด์ดังทั่วโลก บางแบรนด์นั้นไม่มีค่าใช้จ่าย บางแบรนด์ก็มีค่าใช้จ่ายเพียงไม่กี่บาท และก็มีที่ค่าใช้จ่ายสูงมากเช่นกัน




1. โคคา-โคลา : 0 ดอลลาร์
โลโก้ออกแบบโดย แฟรงค์ เอ็ม. โรบินสัน ซึ่งเป็นนักบัญชี และคู่สมรสของผู้ก่อตั้งโค้กเมื่อปี 2429 ซึ่งโรบินสัน เป็นคนเสนอชื่อโคคา-โคลา และคิดว่า ตัวอักษร”C” 2 ตัวควรจะดูดีในโฆษณา เขาต้องการสร้างโลโก้ที่ไม่ซ้ำกับใคร และทดลองเขียนชื่อบริษัทด้วยตัวเขียนแบบสเปนเซอเรียน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องพิมพ์ดีด


2. กูเกิล : 0 ดอลลาร์
โลโก้แบบดั้งเดิมนั้น ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิล เซอร์เกย์ บริน เป็นผู้ออกแบบเมื่อปี 2541 โดยใช้โปรแกรมกราฟิกฟรี ชื่อ จีไอเอ็มพี หลังจากนั้น รูธ เคดาร์ เพื่อนของบริน และลาร์รี่ เพจจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นำเอาไปปรับเป็นโลโก้กูเกิลในยุคต่างๆจนถึงปัจจุบัน


3. ทวิตเตอร์ : 15 ดอลลาร์ (ราว 450 บาท)
โดยซื้อสิทธิของ “นกทวิตเตอร์” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบันจากเวบไซต์ไอสต็อคโฟโต้ ในราคา 15 ดอลลาร์เท่านั้น ศิลปินเจ้าของผลงานนกทวิตเตอร์ คือไซม่อน อ๊อกเลย์ ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น




4. ไนกี้ : 35 ดอลลาร์ (ราว 1,050 บาท)
ผู้ร่วมก่อตั้งไนกี้ ฟิล ไนท์ ซื้อโลโก้มาจากนักศึกษาทางด้านกราฟิกดีไซน์ คาโรลิน เดวิดสัน เมื่อปี 2514 โดยเสนอให้เธอชั่วโมงละ 2 ดอลลาร์ เพื่อออกแบบตาราง กราฟ และโลโก้

5. เอ็นรอน : 33,000 ดอลลาร์ (ราว 99,000 บาท)
เอ็นรอน จ่าย 33,000 ดอลลาร์ให้พอล แรนด์ กราฟิกดีไซน์เนอร์ชื่อดังชาวอเมริกัน ที่ได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งวงการกราฟิกดีไซน์” ออกแบบโลโก้เอ็นรอนในช่วงทศวรรษ 1990




6. กีฬาโอลิมปิก 2012 ที่ลอนดอน : 625,000 ดอลลาร์ (ราว 18.75 ล้านบาท)
คณะกรรมการจัดการโอลิมปิก 2012 จ่ายเงินกว่า 18.75 ล้านบาท ซึ่งออกแแบบโดย โวล์ฟฟ์ โอลินส์ เมื่อปี 2550 โลโก้นี้ถูกวิจารณ์ว่าเทอะทะเกินไป และดูๆไปแล้วคล้ายกับลิซ่า ซิมสัน ตัวการ์ตูนในเดอะซิมสัน กำลังทำรักด้วยปาก




7. เป๊บซี่ : 1 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 30 ล้านบาท)
อาร์เนลล์ กรุ๊ป ออกแบบโลโก้ให้เป๊บซี่ใหม่เมื่อปี 2551 เว็บไซต์สต๊อค โลโกส์ ระบุว่า ราคาดังกล่าวเป็นแพคเก็จที่รวมถึงการทำแบรนดิ้งทั้งหมดให้กับเป๊บซี่



8. บีบีซี : 1.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 54 ล้านบาท)
เมื่อปี 2540 บีบีซีเปลี่ยนโลโก้ของบริษัทจากอักษรตัวเอียงและสีด่างมาเป็นตัวหนังสือกิลล์ แซนส์ แบบเรียบง่าย




9. บีพี : 211 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6,330 ล้านบาท)
เว็บไซต์สต๊อค โลโกส์ ระบุว่า บีพีใช้เงินราว 6,330 ล้านบาท ในการออกแบบโลโก้ของบริษัทเมื่อปี 2551 ขณะที่ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2544 บริษัทโฆษณา โอกิลวี่ แอนด์ มาเธอร์ ช่วยบีพีเปลี่ยนภาพลักษณ์ โลโก้ รวมถึงแท็กไลน์ของเว็บไซต์ ซึ่งอธิบายพันธกิจของบริษัท และความแตกต่างจากคู่แข่ง





ที่มา:http://news.mthai.com/world-news/184056.html

พี่ชายชาวอังกฤษตามหาน้องชายสูญหาย ห่วงเป็นศพเหตุไฟไหม้ไทเกอร์ผับ

            เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 19 สิงหาคมนี้ ที่ห้องประชุมเล็กโรงแรมคาทีน่าภูเก็ต พ.ต.ท. อุรัมพร ขุนเดชสัมฤทธิ์ สารวัตรสถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 พร้อมด้วย นายภาสกร จิรพัฒนโสภณ เจ้าของโรงแรมคาทีน่าภูเก็ต นายMartin Carpenter กงสุลกิตติมศักดิ์อังกฤษ ประจำจังหวัดภูเก็ต และคณะ นำนาย Joseph Tzouvanni นักท่องเที่ยวชาวเมือง Endfield ประเทศอังกฤษ อายุ 26 ปี แถลงข่าวการติดตามหาน้องชายนายMichael Pio Tzouvanniอายุ 24 ปี ที่มาท่อบเที่ยวภูเก็ตและหายไปหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ไทเกอร์ดิสโก้เธค ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งยังไม่ทราบชะตากรรมจะเป็น 1 ใน 4 ศพที่เสียชีวิตหรือไม่

           นาย Joseph กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่าเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากเพื่อนของนายMichael น้องชาย ว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้ไทเกอร์ดิสโก้เธค และนายMichael ขาดการติดต่อ ทั้งเพื่อนและครอบครัวไปจึงติดต่อมาที่นายภาสกรเจ้าของโรงแรมคาทีน่าภูเก็ต ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ประเทศอังกฤษมาก่อน เพื่อประสานงาน ไปดูศพน้องชาย หรือ โรงแรมที่พักของน้องชาย และ รับการตรวจ DNA ที่สถานีตำรวจภูธรกะทู้ สำหรับนายMichael น้องชาย มีกำหนดกลับอังกฤษในวันที่ 19 สิงหาคม เวลา 16.00น. ที่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต

          นาย Joseph กล่าวว่า น้องชายที่หายไป เป็นคนที่ 6 ในจำนวน7คน ชอบเดินทางท่องเที่ยวมาก และ หากอยู่ที่หาดป่าตอง ในช่วงกลางคืน มักจะมาท่องเที่ยวหาความสำราญ ที่ซอยบางลา เป็นประจำ ไปดูห้องพักโรงแรมที่พักต่างๆ ยังไม่พบร่องรอยแต่อย่างใด ส่วนข้าวของส่วนตัวในห้องพักถูกจัดเก็บเรียบร้อย พร้อมจะเดินทางกลับวันอาทิตย์นี้ ได้แต่หวังสูงสุดว่าน้องชายถูกจำขังในคดีอื่นๆหรืออยู่โรงพยาบาล มากกว่า อยู่ร่วมเหตุเพลิงไหม้และเป็น 1 ใน 4 ศพ ที่เจ้าหน้าทีตรวจสอบพบในครั้งนี้

            นายภาสกร เจ้าของโรงแรมคาทีน่าภูเก็ต เพื่อนของนายJoseph กล่าวว่า จากการตรวจสอบศพรายหนึ่ง มีแหวนสวมอยู่ที่นิ้วก้อยซ้าย ที่สอดคล้องกับที่เพื่อนแจ้งไว้ ว่า น้องชายสวมใส่อยู่เป็นประจำ และจำเป็นต้องรอเจ้าหน้าที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจระบุข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ต่อไป ขณะเดียวกันอีกจุดหนึ่งที่สำคัญ หากตรวจสอบบริเวณหัวเข่าของศพนี้ หากพบอุปกรณ์ที่เป็นโลหะหรือน็อต ฝังอยู่บริเวณหัวเขาซ้าย-ขวา จะเป็นที่แน่นอนว่า เป็นน้องชายของเพื่อนอย่างแน่นอน




ที่มา:http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1345369635&grpid=02&catid=02

"นพ.ทศพร"นำเสื้อแดงแพร่ แห่โลงศพ"ปชป." เผาพร้อมหุ่นฟางหน้าศาลากลาง ใช้คำเชิงดูหมิ่น

           เวลา 15.30 น. วันที่ 19 สิงหาคม กลุ่ม นปช.จากอ.เด่นชัย และ อ.ลอง จ.แพร่ จำนวน 50 คน นำโดย นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีตบ้านเลขที่ 111 และนายบุญช่วย พันธ์มณี รองประธาน นปช.ภาคเหนือ รวมตัวกันที่หน้าศาลากลางจังหวัดแพร่ กล่าวปราศรัยแสดงความไม่พอใจ กรณีนายพิเชษฐ์ พันธ์วิชาติกุล ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ พาดพิงชาวแพร่ หาว่า “แพร่แห่ระเบิด”ในการประชุมพิจารณางบประมาณสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากเป็นการกล่าวโจมตีนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้วยังเป็นการใช้ถ้อยคำเชิงดูถูกชาวแพร่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการแห่ระเบิดเข้าหมู่บ้าน เหตุเกิดที่ อ.ลอง

          จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เขียนป้ายโจมตีนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ และกล่าวถึงเหตุผลในการแห่ระเบิดว่าชาวแพร่นำไปทำระฆังถวายวัดไม่ได้โง่แห่ระเบิดที่อันตรายเข้าบ้าน เพียงชาวแพร่มีวิธีในการถอดชนวนระเบิดและนำไปใช้ประโยชน์ได้ หลังจากนั้นได้ทำการแห่โลงศพเขียนชื่อประชาธิปัตย์ และหุ่นฟางติดหน้านักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์แห่ไปรอบๆ สี่แยกพรหมวิหารสี่ หน้าศาลากลางจังหวัดแพร่ จำนวน 3 รอบ จากนั้นนำไปวางที่หน้าป้ายศาลากลางจังหวัด โดยกลุ่ม นปช.ได้ช่วยกันนำรองเท้าเข้าตบหน้าหุ่นฟางอย่างรุนแรง

         ต่อมา นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ได้ทำหน้าที่เป็นประธานในการเผาโลงศพและหุ่นฟางดังกล่าว โดยกล่าวว่า การพูดในสภานั้น ได้ทำการดูถูกชาวแพร่ทั้งจังหวัด ซึ่งมีการถอนคำพูดในสภาแล้วแต่ต้องขอโทษชาวแพร่ด้วย จากนั้นทำการเผาทั้งหุ่นฟางและโลงศพหน้าศาลากลางจังหวัดแพร่ ก่อนแยกย้ายกันเดินทางกลับเมื่อเวลา 16.00 น




ที่มา:http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1345378960&grpid=00&catid=00

ผบ.ทบ. ยัวะแจ้งจับทนายเสื้อแดง ปราศรัยหมิ่นกองทัพ

          ผบ.ทบ.ส่งลูกน้องแจ้งจับ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายคนเสื้อแดง ปราศรัยหมิ่นกองทัพบก ซื้ออาวุธจากอเมริกามาฆ่าประชาชน

          (19 ส.ค.) เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ได้มอบหมายให้ พ.ท.สายัณห์ ขุนขจี นายทหารพระธรรมนูญ เข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี ให้ดำเนินคดีกับนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ชาวแคนนาดา ทนายความคนเสื้อแดง และหญิงไทย ไม่ทราบชื่อและนามสกุล ซึ่งเป็นล่ามแปลและเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดท ในข้อหาหมิ่นประมาท พร้อมกับนำแผ่นซีดีบันทึกคำปราศรัยของนายโรเบิร์ตกับพวกมอบให้กับพนักงานสอบสวนเพื่อเป็นหลักฐาน

         สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.10 น. นายโรเบิร์ตพร้อมกับพวก ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่บริเวณแยกราชประสงค์ เป็นภาษาอังกฤษ โดยมีล่ามแปลเป็นภาษาไทย ผ่านเครื่องขยายเสียงของสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดท ซึ่งข้อความในการปราศรัยได้หมิ่นประมาทถึงกองทัพบก ระบุว่ากองทัพได้ซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกาเพื่อมาเข่นฆ่าประชาชน รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งสไนเปอร์มาสอนสไนเปอร์ไทย ให้กระทำกับประชาชน ซึ่งทำให้กองทัพได้รับความเสียหาย และเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงเข้าแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดี เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ผ่านมา

         ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. ดูแลงานกฎหมายและสอบสวน เปิดเผยว่า ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และรายงานให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ทราบแล้ว ขณะนี้ให้ทาง บก.น.5 ตั้งคณะพนักงานสอบสวนระดับ บก.เพื่อพิจารณาคดีดังกล่าว ซึ่งตนจะควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด และให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย


ที่มา:http://news.sanook.com/1137147/%E0%B8%9C%E0%B8%9A.%E0%B8%97%E0%B8%9A.-%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9E/

ฝ่ายค้านระส่ำ ก่อนทำศึกใหญ่

                                                                 ศึกอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประ มาณรายจ่ายประจำปี 2556 วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท ในสภาวาระ 2 และ 3 ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ถึงการตีรวน จุกจิก ไร้สาระจะยังมีให้เห็น แต่ก็ไม่ถึงกับดุเดือดเลือดพล่าน ภาพรวมจึงถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานทั้งในส่วนของฝ่ายค้านและรัฐบาล

การอภิปรายของฝ่ายค้านมุ่งไปที่ 3-4 เรื่องหลักๆ คือ
     การกู้เงินจำนวนมหาศาลของรัฐบาล เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ที่ทำให้ประเทศต้องแบกภาระหนี้สินสูงขึ้น ส่งผลต่อความมั่นคงด้านเศรษฐกิจของประเทศ
     การปรับลดภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือ 23 ที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้นับแสนล้าน ขณะที่กลุ่มนายทุนเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว
     ความไม่โปร่งใสในการจัดสรรงบประมาณที่อาจกระทบวินัยการเงิน การคลังของประเทศ
     โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่ใช้เงินมากกว่าแสนล้านบาท แต่ถึงมือเกษตรกรแบบไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และมีแนวโน้มนำไปสู่การทุจริตในระดับปฏิบัติ
     รวมถึงงบแก้น้ำท่วม 3.5 แสนล้านที่ไม่มีแผนการใช้จ่ายที่ชัดเจนเพียงพอ
     ทำให้การตรวจสอบลึกลงไปในรายละเอียดเป็นไปได้ยาก ที่สำคัญเกรงจะเป็นการเปิดช่องโหว่ให้ส.ส.นำเงินไปลงในพื้นที่ตัวเอง โดยไม่ได้นำไปบริหารจัดการปัญหาอุทกภัยอย่างแท้จริง
     โดยมีการหยิบยกความเคลื่อนไหวของ "ทักษิณ" ตามแผนโลกล้อมไทย ขึ้นมาอภิปรายแซมบ้างนิดหน่อยในส่วนของงบกระทรวงการต่างประเทศ
     สรุปแล้วการที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ผ่านสภาไปได้โดยไร้เหตุการณ์ความวุ่นวาย
ก็เพราะรัฐบาลวาง "เกมรับ" มาดี ใช้ความอดทน อดกลั้นรับมือกับการอภิปรายเป็นต่อยหอยของฝ่ายค้าน โดยไม่ประท้วงตอบโต้จนเกินงาม
สิ่งที่รัฐบาลทำก็คือการพยายามปล่อยให้ฝ่ายค้านพูดไปเรื่อยๆ มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้างโดยไม่กำหนดกรอบเวลา แต่พออภิปรายเรียงตามมาตราในวาระ 2 จบ
รัฐบาลก็ใช้เสียงข้างมากให้เป็นประโยชน์โหวตผ่านวาระ 3 ทันทีกับอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลไม่ค่อยซีเรียสกับศึกงบประมาณหนนี้เพราะรู้ว่าฝ่ายค้านไม่กล้าตีรวนมาก เพราะต้องกอบกู้ภาพลักษณ์ตัวเองจากที่เสียหายป่นปี้ไปเมื่อครั้งอภิปรายร่างพ.ร.บ.ปรองดองในสมัยประชุมสภาที่แล้ว
และที่สำคัญฝ่ายค้านยังต้อง "กั๊ก" ข้อมูลบางส่วนไว้ สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือศึกซักฟอก ที่มีเดิมพันทางการเมืองสูงกว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ หรือการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลคือกลไกอย่างหนึ่งของฝ่ายค้านในสภา ในการทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารตามกฎกติกาการ เมืองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับและเคารพไม่เพียงแต่รัฐบาล พรรคฝ่ายค้านเองก็ต้องยอมรับและเคารพต่อกลไกดังกล่าวเช่นกัน ไม่ว่าผลการทำหน้าที่ตรวจสอบจะออกมาอย่างไร กระนั้นก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าจากสถานการณ์แวดล้อมทางการเมืองตอนนี้ ล้วนบ่งชี้ให้เห็นถึงความได้เปรียบของรัฐบาลที่มีอยู่เหนือฝ่ายค้านแทบทุกมิติทั้งในสภาและนอกสภาในสภานั้น รัฐบาลเพื่อไทยมีเสถียรภาพมั่นคงแข็งแกร่งด้วยเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วม ที่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาไม่มีพรรคใดแสดงอาการงอแงให้เห็นยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายค้านบางส่วนโดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย กลุ่มมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ยังแสดงความโอนเอียงเข้าหาพรรคเพื่อไทยจนออกนอกหน้าหรือแม้แต่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยคนใหม่ บางช่วงบางตอนก็เผยท่าทีที่เป็นมิตรกับฝั่งรัฐบาลเพื่อไทยออกมาให้เห็น เช่นกัน
ในทางตรงกันข้ามแกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์กลับถูกทิ้งให้ต้องเผชิญกับ "มรสุมกรรมเก่า" ซัดกระหน่ำจนต้องเป็นฝ่ายถอยร่นเสียเองกรรมเก่าของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไล่กวดตามหลังมาติดๆ ตอนนี้เป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากกรณี 98 ศพ จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เดือนเม.ย.-พ.ค.2553ภายใต้ความรับผิดชอบในการคลี่คลายของพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ในรัฐบาลชุดนี้ คดีได้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็วปัจจุบันมี 19 ศพที่อยู่ระหว่างการไต่สวนชันสูตรพลิกศพในชั้นศาล รอการวินิจฉัยว่าการตายทั้ง 19 ศพเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ โดยเฉพาะคดีการตายของ นายพัน คำกอง แท็กซี่เสื้อแดง ซึ่งถูกยิงตายหน้าคอนโดฯ ถ.ราชปรารภ ย่านมักกะสัน เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2553เป็นคดีไต่สวนชันสูตรพลิกศพคดีแรก
ที่ศาลมีคำสั่งเรียก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ให้มาขึ้นเบิกความวันที่ 21 ส.ค.นี้ นอกจากนี้ ยังมีคดีสำคัญน่าจับตาไม่แพ้กัน กรณีมีผู้ถูกยิงบาดเจ็บ 2 รายในเหตุการณ์เดือนพ.ค.2553 เข้าร้องทุกข์ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ
ในข้อหาพยายามฆ่าทั้งนี้ จุดเชื่อมโยงข้อหาดังกล่าว พยานปากสำคัญอยู่ตรงเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ได้รับคำสั่งให้ออกมาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาเกิดเหตุ
พนักงานสอบสวนดีเอสไอเตรียมออกหมายเรียกเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดังกล่าวมาให้การภายในเดือนส.ค.นี้ เพื่อสอบสวนว่าได้รับคำสั่งมาจากใคร
ต้องไม่ลืมว่า นอกจาก 98 ศพแล้ว ในเหตุ การณ์การเมืองนองเลือดเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 2,000 คน ในจำนวนนี้ทุกคนมีสิทธิ์เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้สั่งการในข้อหาพยายามฆ่า หรือเจตนาทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ทั้งสิ้นผลแห่งกรรมเก่าที่กำลังรุกไล่กระชั้นชิด จะกระทบถึงใคร ในรูปแบบใด หนักหน่วงขนาดไหน และจะมีผลต่อการยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล รวมถึงร่างกฎหมายปรองดองที่ค้างอยู่ในสภาหรือไม่


ที่มา:http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNME5UTTFNVGt3TVE9PQ==&sectionid=

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ธุรกิจมาแรงปี 55 ธุรกิจเสริมสวย-ทำหล่อมาแรงปี'55

         ธุรกิจมาแรงปี 55 ธุรกิจเสริมสวย-ทำหล่อมาแรงปี'55 โชห่วยดับสนิทสู้ค้าปลีกยักษ์ไม่ได้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผย 10 ธุรกิจดาวเด่น ดาวดับ ปี 2555 ชี้การแพทย์ ความงาม มาแรงสุด หลังคนใส่ใจสุขภาพ และหันทำศัลยกรรมความงามมากขึ้น ส่วนโชห่วย ดับสนิท เพราะสู้ค้าปลีกรายใหญ่ไม่ได้

         นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ได้จัดอันดับธุรกิจดาวเด่นในปี 2555 โดยการให้คะแนนใน 5 ด้าน คือ ด้านยอดขาย ต้นทุน ส่วนต่างของยอดขายต่อต้นทุน (กำไรสุทธิ) ความสามารถในการรับผลจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และความสอดคล้องกับกระแสนิยม รวม 50 คะแนน รวมถึงประเมินจากสถานการณ์เศรษฐกิจ 2555 ปัจจัยสนับสนุน และปัจจัยบั่นทอนในการทำธุรกิจ พบว่า มีธุรกิจดาวเด่น 10 อันดับจำนวน 12 ธุรกิจ ที่จะมีการขยายตัวเติบโตได้ดีในปี 2555
 
         โดย 10 ธุรกิจดาวเด่น ได้แก่ 1.ธุรกิจบริการทางการแพทย์ และความงาม 45.1 คะแนน เพราะคนรักสุขภาพมากขึ้น และวัยรุ่นมีกระแสรักสวยรักงาม และทำศัลยกรรมความงามมากขึ้น รวมถึงต่างชาติมองว่าการรักษาของไทยมีคุณภาพ และราคาไม่แพง 2.อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล 44 คะแนน เพราะแนวโน้มความต้องการของโลกมากขึ้น 3.ธุรกิจปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์คอนกรีต 43.9 คะแนน เพราะการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศในแถบอาเซียน และความต้องการใช้ในไทยมีมากขึ้น จากการก่อสร้างพนังป้องกันน้ำท่วม และซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนที่เสียหายจากน้ำท่วม รวมถึงโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
4.สถานีบริการ จำหน่ายน้ำมัน ก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี 43.8 คะแนน จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ความต้องการใช้มีมากขึ้น ระดับราคาน้ำมันยังสูงอยู่ แต่ราคาแอลพีจี และเอ็นจีวีต่ำ ทำให้คนหันมาใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงได้รับอานิสงส์จากนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาล       5.สถาบันการเงิน 43.5 คะแนน จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ ความต้องการสินเชื่อเพื่อการบริโภคเพิ่มขึ้น รวมถึงสินเชื่อเพื่อการซ่อมแซมบ้าน และฟื้นฟูเครื่องจักรหลังน้ำลด และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่มีมากขึ้น
6.เทคโนโลยีสื่อสาร 43.3 คะแนน เพราะความต้องการใช้ระบบสื่อสารมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาระบบสื่อสารใหม่ๆ มากขึ้น ภาวะเศรษฐกิจในประเทศขยายตัว การพัฒนาเครือข่ายความเร็วสูงในทุกพื้นที่ และราคาอุปกรณ์สื่อสารต่ำลง 7.ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต 43.2 คะแนน จากนโยบายหักลดหย่อนที่มีมากขึ้น และปัญหาภัยธรรมชาติที่มากขึ้นทำให้คนหันมาทำประกันภัยมากขึ้น
8.มีคะแนนเท่ากันที่ 42.7 คะแนนใน 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร จากการลงทุนใหม่ในเครื่องจักรของอุตสาหกรรมต่างๆ ภายหลังน้ำท่วม การขยายการลงทุนของภาคเอกชนในการผลิตสินค้า และภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัว และธุรกิจก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง จากการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ และการซ่อมแซมถนน สะพาน หลังจากน้ำลด
9.ธุรกิจพลังงานและพลังงานทดแทน เพราะความต้องการใช้ที่มากขึ้น เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันที่มีราคาทรงตัวระดับสูง และ 10.มี 2 ธุรกิจที่คะแนนเท่ากันที่ 42.4 คะแนน คือ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ เพราะค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ และความต้องการสินค้าสูงขึ้น และธุรกิจอาหาร เพราะโลกยังต้องการอาหาร โดยเฉพาะสินค้าเกษตรมากขึ้น ตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และระดับราคาที่สูงขึ้นจากนโยบายของภาครัฐ

          นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สำหรับ 10 ธุรกิจดาวร่วง หรือธุรกิจที่มีโอกาสทำธุรกิจน้อย และผู้ประกอบการจะต้องเร่งปรับปรุงศักยภาพ ในปี 2555 ได้แก่ 1.ร้านค้าดั้งเดิม (โชห่วย) 15.9 คะแนน เพราะไม่สามารถแข่งขันกับธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ได้ 2.ผักและผลไม้อบแห้ง 16.7 คะแนน เพราะคนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และนิยมรับประทานผัก ผลไม้สดมากขึ้น 3.หัตถกรรม (จักสาน งานไม้) 17.1 คะแนน เพราะรูปแบบล้าสมัย ไม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค 4.เครื่องหนัง (งานไม้เน้นฝีมือ งานเครื่องหนังทั่วไป) 17.2 คะแนน มีคู่แข่งมาก กำไรน้อย โดยเฉพาะเครื่องหนังที่มีราคาต่ำถึงปานกลาง 5.เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (ไม่เน้นงานฝีมือ) 18.4 คะแนน มีสินค้าราคาถูกจากจีน และประเทศเพื่อนอย่างเวียดนามเข้ามาตีตลาดมากขึ้น 6.สิ่งทอผ้าผืน (งานไม้เน้นฝีมือ ตัดเย็บทั่วไป) 18.7 คะแนน มีสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดมากขึ้น
7.เหล็กและการผลิตเหล็ก 19.9 คะแนน มีปริมาณการผลิตเหลือ เพราะความต้องการใช้ในประเทศไม่มากตามภาวะเศรษฐกิจไทย ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ 8.อุตสาหกรรมฟอกย้อม 20.7 คะแนน ทรุดตัวตามอุตสาหกรรมผ้าผืน 9.ธุรกิจประมง 24.1 คะแนน มีต้นทุนสูง จากราคาน้ำมันดีเซลแพง ปลาจับได้น้อย รวมถึงต้องออกไปทะเลต่างประเทศมากขึ้น และ 10.อสังหาริมทรัพย์ (บ้านแนวราบ) 24.9 คะแนน เพราะประชาชนลังเลการตัดสินใจซื้อ เพื่อรอเลือกซื้อบ้านในพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วม และหันมาซื้อคอนโดมีเนียมเพื่อหนีน้ำมากขึ้น


ที่มา:http://trading2011.blogspot.com/2011/12/55-55.html